รีวิว No Time to Die (2021) 007 พยัคฆ์ร้ายฝ่าเวลามรณะ

No Time to Die รีวิว

เรื่องย่อ เจมส์ บอนด์ (Daniel Craig) กำลังสนุกไปกับชีวิตอันเงียบสงบในจาไมก้า แต่ช่วงเวลาพักผ่อนนั้นก็เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เพราะ เฟลิกซ์ เลเตอร์ (Jeffrey Wright) เพื่อนเก่าจากซีไอเอ มาขอให้เขาช่วยทำงาน เป้าหมายคือช่วยชีวิตนักวิทยาศาสตร์ที่ถูกลักพาตัวไป ซึ่งเหตุการณ์นี้ดูเลวร้ายกว่าที่คิดไว้ บอนด์ต้องเข้าไปเผชิญกับศัตรูลึกลับที่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่สุดอันตรายเป็นอาวุธ

ภาคนี้เล่าเรื่องถึงเจมส์ บอนด์ ที่วางมือจากการเป็นนักสืบไปแล้ว และใช้ชีวิตอยู่ที่จาไมกา พร้อมกับคนรักอย่าง ดร. เมเดอลีน (Léa Seydoux) จากภาคที่แล้ว Spectre (2015) ที่ในภาคนี้จะได้เห็นความสัมพันธ์ของทั้งคู่แบบชัดเจนยิ่งขึ้น แต่สายลับบอนด์กับ ดร. เมเดอลีนที่กำลังพักผ่อนอยู่ที่อิตาลีกลับอยู่สุขได้ไม่นาน เพราะ เฟลิกซ์ เลเตอร์ (Jeffrey Wright) เพื่อนเก่าจากหน่วยซีไอเอ มาขอให้เขาไปช่วยตามหานักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซีย ที่ถูกลักพาตัวไปพัฒนาอาวุธเชื้อโรคร้ายแรง “โปรเจกต์ เฮราคลีส” (Project Heracles) ที่ ‘ซาฟิน’ (Rami Malek) เป็นเจ้าของ

ในขณะที่เจมส์ บอนด์ ก็ต้องแก้ปัญหาหัวใจไปด้วย เมื่อบอนด์พบว่า ดร. เมเดอลีน จริง ๆ แล้วมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่ แถมเมื่อกลับมารับหน้าที่ ก็ยังโดน ‘โนมิ’ (Lashana Rasheda Lynch) สายลับสาวรุ่นใหม่แย่งรหัส 007 ไปใช้อีก บอนด์ในฐานะนักสืบไร้รหัส จึงต้องกลับมาทวงบัลลังก์นักสืบ 007 ตัวจริง พร้อมกับแก้ปมในใจบางอย่าง ไขความลับที่ไม่เคยถูกเปิดเผยมาเนิ่นนานไปพร้อม ๆ กับการทำลายโปรเจกต์เชื้อโรคอันตรายให้สิ้นซาก

ตัวอย่าง No Time to Die (2021)